วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๔
ที่มาของไท ยวน ในจังหวัดสระบุรี จากอดีตครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ใน พ.ศ 2347 ได้มีบัญชาให้เจ้าพระยายมราชยกทัพหลวงไปร่วมกับหัวเมืองฝ่ายเหนือ เชียงใหม่ น่าน ลำปาง และเวียงจันทน์ จัดทัพเป็น 5 ทัพ ยกไปตีเมืองเชียงแสน หลังจากล้อมเมืองอยู่ได้ 1-2 เดือน จึงตีเชียงแสนสำเร็จ ได้ทำการเผาทำลายป้อมปราการ กำแพงเมือง และกวาดต้อนผู้คนชาวเชียงแสนได้ประมาณ 23,000 คนเศษ ชาวเชียงแสนส่วนหนึ่งได้อพยพเข้าไปอยู่ในเชียงใหม่ น่าน ลำปาง เวียงจันทน์ อีกส่วนหนึ่งได้อพยพเข้าอยู่ในสระบุรี และราชบุรี เรียกตัวเองว่า ไท - ยวน
ชาวไท - ยวน ในสระบุรี แรกเริ่มอาศัยอยู่ตามสองฝั่งของแม่น้ำป่าสัก ทั้งซ้ายและขวา เหนือจรดใต้ ใช้ชีวิต โดยผู้หญิงทำนา เลี้ยงลูก และทอผ้า ส่วนผู้ชายก็มีอาชีพทำนา หาฟืน เลี้ยงสัตว์ และจักสาน ต่อมาได้รับเอาอารยธรรมจากส่วนกลางเพิ่มขึ้น จนถึงในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งพัฒนาการคมนาคมจากทางน้ำเป็นทางบก และให้เมืองสระบุรีเป็นเมืองผ่าน ทำให้วิถีชีวิตของชาวไท - ยวนเปลี่ยนแปลงมากขึ้น จนถึงปัจจุบัน ชาวไท - ยวนในสระบุรี สืบเชื้อสายกันมาถึง 5 ชั่วคน นับได้ 205 ปี จำนวนชาวไท - ยวนนับได้ราว 80,000 คน กระจายอยู่ในทุกอำเภอของสระบุรี อำเภอที่มีชาวไท - ยวนอาศัยอยู่มากที่สุดคือ อำเภอเสาไห้
ชาวไท - ยวน ในสระบุรี แรกเริ่มอาศัยอยู่ตามสองฝั่งของแม่น้ำป่าสัก ทั้งซ้ายและขวา เหนือจรดใต้ ใช้ชีวิต โดยผู้หญิงทำนา เลี้ยงลูก และทอผ้า ส่วนผู้ชายก็มีอาชีพทำนา หาฟืน เลี้ยงสัตว์ และจักสาน ต่อมาได้รับเอาอารยธรรมจากส่วนกลางเพิ่มขึ้น จนถึงในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งพัฒนาการคมนาคมจากทางน้ำเป็นทางบก และให้เมืองสระบุรีเป็นเมืองผ่าน ทำให้วิถีชีวิตของชาวไท - ยวนเปลี่ยนแปลงมากขึ้น จนถึงปัจจุบัน ชาวไท - ยวนในสระบุรี สืบเชื้อสายกันมาถึง 5 ชั่วคน นับได้ 205 ปี จำนวนชาวไท - ยวนนับได้ราว 80,000 คน กระจายอยู่ในทุกอำเภอของสระบุรี อำเภอที่มีชาวไท - ยวนอาศัยอยู่มากที่สุดคือ อำเภอเสาไห้
ผู้ที่สืบสวนตำนานของชาวไท ยวน และบอกเล่าเรื่องรวในพวกเราชาวถาปัตย์ ลาดกระบังก็คือ ครูทรงชัย วรรณกูล ให้เกิดความรัก ความภาคภูมิใจ อนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมไท-ยวนให้เป็นวิถีชีวิตที่ยั่งยืน จึงเริ่มสร้างบ้านทรงไทยหลังในที่ดินผืนนี้ด้วยเงินเดือนครู ตั้งแต่ยังไม่มีถนนหนทาง ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ได้อาศัยน้ำจากแม่น้ำป่าสัก และขุดคลองหลังบ้านขึ้นเอง ครูได้เริ่มสะสมของเก่า หามาเก็บรักษาเพิ่มขึ้น ต่อมาได้ซื้อเรือนไทยหลังที่ 2 จากเจ้าของเดิมที่นิยมสร้างตึกแทนเรือนไม้ ในราคา 6,000 บาท หลังจากนั้นก็ได้ซื้อเรือนเก่าและต่อเติมสะสมขึ้นมาเรื่อยๆดังที่เห็นในปัจจุบัน
ตัวเรือนตั้งอยุ่ริมแม่น้ำป่าสัก ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงชัน มีการเล่นระดับของฟังก์ชันการใช้งานที่แตกต่างกัน คือด้านบนเป็นตัวเรือน ถัดลงมาเป็นพื้นที่นั่งเล่น ถัดลงมาอีกเป็นเวทีการแสดง และมีที่ชมการแสดงอีกด้วย
ตัวบ้านมีลานดินอัดเน้น แต่นหน้าฝนอาจจะมีดินติดรองเท้า แก้ปัญหา โดยการนำแผ่นไม้กระดานมาวางเพื่อเป็นทางเดิน เลื่อยไปตามตัวเรือน
มุมที่ประทับใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น